วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2561

ประวัติผู้จัดทำ




ชื่อ นางสาวพรนภัส นอละออ
ชื่อเล่น บีม
วัน เดือน ปี เกิด อังคารที่ 21 มีนาคม2543 ปีมะโรง
สถานภาพ โสด
ศาสนา พุทธ
เบอร์โทรศัพท์ +669 1480XOXO
E-Mail pnp_beamm@hotmail.com
งานอดิเรก เล่นคอมพิวเตอร์ และหาความรู้เพิ่มเติม
คติประจำใจ เรียนรู้ตลอดชีวิตแล้วเราจะก้าวทันโลก

วันพุธที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2561

สัตว์ในป่าชายเลน

ปูทะเล




ปลาดอกหมาก






นกแขวก


คลิปแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว

การกำเนิดของป่าชายเลน



ป่าชายเลน พบได้ทั่วไปตามพื้นที่ชายฝั่งทะเล บริเวณปากแม่น้ำ อ่าว ทะเลสาบ ลำคลอง และเกาะที่มีน้ำทะเลท่วมถึง โดยพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเกิดป่าชายเลน คือ อ่าวที่มีน้ำนิ่งๆ และมีแม่น้ำสายใหญ่ๆ ไหลลงมา ดังนั้น เมื่อกระแสน้ำในแม่น้ำลำคลองไหลลงมาปะทะกับกระแสน้ำทะเล กระแสน้ำในแม่แม่น้ำก็จะเบาลงและหยุดนิ่ง เมื่อน้ำนิ่งพวกโคลนเลนและตะกอนต่างๆ ที่ไหลปะปนมากับกระแสน้ำก็จะจมลง การตกตะกอนของดินโคลนเหล่านี้จะทำให้เกิดแผ่นดินโคลนหรือเลนบริเวณท้องอ่าว






ดินเลนหรือดินโคลนนี้ มีลักษณะเหมาะสมแก่พรรณไม้ต่างๆ ที่ขึ้นตามป่าชายเลน เช่น ไม้โกงกาง ไม้ลาน ไม้ประสัก ไม้แสม ไม้โปรง ไม้ฝาด ฯลฯ เนื่องจากไม้เหล่านี้สามารถแพร่พันธุ์ด้วยเมล็ดโดยทางน้ำได้เป็นระยะทางไกลๆ เมื่อเมล็ดของไม้เหล่านี้ลอยไปติดอยู่ตามแผ่นดินโคลนหรือเลนที่เกิดขึ้นใหม่ก็จะพากันงอกเป็นต้น ในไม่ช้าแผ่นดินเลนนั้นก็จะเต็มไปด้วยต้นไม้ กลายเป็นป่าทึบ ซึ่งประกอบด้วยพรรณไม้ต่างๆ ในป่าชายเลน เมื่อป่าเหล่านี้เจริญเติบโตต่อไปก็จะก่อให้เกิดแผ่นดินเลนผืนใหม่ต่อไป ส่วนป่าชายเลนตอนบน หรือตอนในที่อยู่ถัดเข้าไปในแม่น้ำ ลำคลอง หรือลำห้วยนั้นค่อยๆ แปรสภาพเป็นป่าบกขึ้นทีละน้อย เนื่องจากป่าชายเลนช่วยทำให้มีแผ่นดินใหม่งอกออกไปทางริมทะเล แต่พื้นดินตอนในๆ ไกลจากฝั่งทะเลออกไปก็ค่อยตื้นเขินขึ้นที่ละน้อย ไม่เหมาะกับความเป็นอยู่ของพรรณไม้ที่ชอบขึ้นบนเลน ในที่สุดป่าชายเลนบริเวณนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นป่าบกในที่สุด

ป่าชายเลนในประเทศไทย

ประเทศไทยมี 23 จังหวัด ที่มีพื้นที่ป่าชายเลนตามชายฝั่งทะเลแม่น้ำลำคลอง ทะเลสาบและเกาะต่างๆ ตั้งแต่ภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออกตลอดไปจนถึงภาคใต้ทั้งสองฝั่ง จากการสำรวจพื้นที่ป่าชายเลนของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2504 พบว่า มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 2,299,375 ไร่ หรือร้อยละ 0.72 ของพื้นที่ประเทศ ในระยะ 25 ปีต่อมาพื้นที่ป่าชายเลนได้ลดลงอย่างรวดเร็ว จากการสำรวจเมื่อ พ.ศ. 2529 ปรากฏว่ามีพื้นที่ป่าชายเลนประมาณ 1,220,000 ไร่ หรือลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง ต่อมาป่าชายเลนยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มอัตราการบุกรุกเพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยในปี พ.ศ. 2534 พื้นที่ป่าชายเลนคงเหลือเพียง 1,076,250 ไร่ หรือร้อยละ 0.33 ของพื้นที่ประเทศ ซึ่งคิดเป็นพื้นที่ถูกทำลาย 1,223,125 ไร่ หรือประมาณร้อยละ 54 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2504 และลดลงเหลือประมาณ 1,047,781.25 ไร่ ในปี พ.ศ. 2539 แต่หลังจากปี พ.ศ. 2539 มีพื้นที่ป่าชายเลนเพิ่มขึ้นเนื่องจากได้มีนโยบายการฟื้นฟูป่าชายเลน เช่น การปลูกป่าทดแทนและการลดการบุกรุกทำลายป่า ส่งผลให้ในปี พ.ศ. 2543 พื้นที่ป่าชายเลนเพิ่มขึ้น 1,578,750 ไร่ และเป็น 2,384 ไร่ ในปี พ.ศ. 2547 โดยมีพื้นที่เพิ่มขึ้นมากกว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (ปี พ.ศ. 2545–2549) ได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าควรมีป่าชายเลนทั้งประเทศประมาณ 1,250,000 ไร่ หากเทียบอัตราการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าชายเลนรายจังหวัดในช่วงปี พ.ศ. 2518-2536 พบว่า จังหวัดชลบุรีมีอัตราลดลงเฉลี่ยต่อปีมากที่สุดถึงร้อยละ 5.42 เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลและการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว



ป่าชายเลน คืออะไร ??



ป่าชายเลน คือเป็นกลุ่มสังคมพืชซึ่งขึ้นอยู่ในเขตน้ำลงต่ำสุดและน้ำขึ้นสูงสุด บริเวณชายฝั่งทะเล ปากแม่น้ำหรืออ่าว อีกความหมายหนึ่ง หมายถึง สังคมพืชที่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้หลายชนิดหลายตระกูล และเป็นพวกที่มีใบเขียวตลอดปี (evergreen species) ซึ่งมีลักษณะทางสรีรวิทยาและความต้องการสิ่งแวดล้อมที่คล้ายกัน ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยพันธุ์ไม้สกุลโกงกาง (Rhizophora spp.) เป็นไม้สำคัญและมีไม้ตระกูลอื่นบ้าง

ได้มีการค้นพบป่าประเภทนี้มาตั้งแต่เมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เดินทางมาบริเวณชายฝั่งตะวันตกของเกาะคิวบา ต่อมา เซอร์ วอลเตอร์ เรลห์ ได้พบป่าชนิดเดียวกันนี้อยู่บริเวณปากแม่น้ำในตรินิแดดและเกียนา

คำว่า "mangrove" เป็นคำจากภาษาโปรตุเกสคำว่า "mangue" ซึ่งหมายถึงกลุ่มสังคมพืชที่ขึ้นอยู่ตามชายฝั่งทะเลดินเลน และใช้กันแพร่หลายในประเทศแถบลาตินอเมริกา ส่วนประเทศอื่น ๆ ก็ใช้เรียกตามภาษาของตัวเอง เช่น ประเทศมาเลเซียใช้คำว่า "manggi-manggi" ประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเรียกป่าชายเลนว่า "mangrove" ส่วนภาษาไทยเรียกป่าชนิดนี้ว่า "ป่าชายเลน" หรือ "ป่าโกงกาง"

บริเวณที่พบป่าชายเลนโดยทั่วไป คือตามชายฝั่ง ทะเล บริเวณปากน้ำ อ่าว ทะเลสาบ และเกาะ ซึ่งเป็นบริเวณที่น้ำทะเลท่วมถึงของประเทศ ในแถบภูมิภาคเขตร้อน ส่วนเขตเหนือหรือใต้เขตร้อน จะพบป่าชายเลนอยู่บ้างแต่ไม่มาก โดยพื้นที่ที่พบป่าชายเลนเช่น ในกลุ่มประเทศของภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซียมาเลเซีย พม่า และ ไทย เป็นต้น

สำหรับพื้นที่ป่าชายเลนของโลกทั้งหมดมีประมาณ 113,428,089 ไร่ อยู่ใน เขตร้อน 3 เขตใหญ่ คือ เขตร้อนแถบเอเชียพื้นที่ประมาณ 52,559,339 ไร่ หรือร้อยละ 46.4 ของป่าชายเลนทั้งหมด โดยประเทศอินโดนีเซียมีป่าชายเลนมากที่สุด ถึง 26,568,818 ไร่ สำหรับในเขตร้อนอเมริกามีพื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมดประมาณ 39,606,250 ไร่ หรือร้อยละ 34.9 ของพื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมด ในเขตร้อนอเมริกาประเทศที่มีพื้นที่ โดยประเทศบราซิล มีพื้นที่ป่าชายเลนประมาณ 15,625,000 ไร่ รองจากอินโดนีเซีย ส่วนเขตร้อนอัฟริกามีพื้นที่ ป่าชายเลนน้อยที่สุดประมาณ 21,262,500 ไร่ หรือร้อยละ 18.7 ของพื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมด โดยประเทศไนจีเรีย มีพื้นที่ป่าชายเลน 6,062,500 ไร่ มากที่สุดในโซนนี้ โดยป่าชายเลนที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ ซันดาร์บานส์ ซึ่งเป็นปากแม่น้ำคงคาระหว่างประเทศอินเดียกับบังกลาเทศ ซึ่งมีเนื้อที่ 10,000 ตารางกิโลเมตร (3,900 ตารางไมล์)[1][2][3][4][5] ซึ่งถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติโดยองค์การยูเนสโก[4]

วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2560

สถานที่เที่ยวใกล้เคียง


พระเจดีย์กลางน้ำ จังหวัดระยอง


พระเจดีย์กลางน้ำ เป็นเสมือนสัญลักษณ์ประจำเมืองระยอง ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำระยอง โอบล้อมด้วยป่าชายเลน อยู่ในบริเวณก่อนถึงปากแม่น้ำระยอง ปัจจุบันได้มีการบูรณะดูแล และอยู่ในความดูแลของวัดปากน้ำ เพื่อให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถเดินชมเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน ที่อยู่ในบริเวณเดียวกันได้ด้วย


พระเจดีย์กลางน้ำ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อปี พ.ศ. 2416 ช่วงพระยาศรสมุทร โภคชัยชิตสงคราม (เกตุ ยมจินดา) เป็นเจ้าเมืองระยองอยู่ในขณะนั้น เคยเข้ากรุงเทพและผ่านไปยังจังหวัดสมุทรปราการ เห็นองค์พระสมุทรเจดีย์ หรือเจดีย์กลางน้ำตั้งอยู่บริเวณเกาะกลางน้ำ จึงจำลองแบบมาสร้างให้เป็นสัญลักษณ์สำหรับชาวเรือที่มาถึงระยอง โดยสร้างเป็นเจดีย์ไว้บนเกาะกลางน้ำ โอบล้อมด้วยพื้นที่ป่าชายเลนประมาณ 52 ไร่ พระเจดีย์เป็นแบบก่ออิฐถือปูน สีขาว ทรงระฆังฐานกลม ส่วนยอดมีบัลลังก์สี่เหลี่ยม และเสาหานรองรับปล้องไฉน ปลียอดส่วนบนเป็นเม็ดน้ำค้าง ความสูงประมาณ 10 เมตร มีระเบียงล้อมรอบองค์ระฆัง 2 ชั้น มีบันไดขึ้น 2 ข้าง ลานด้านล่างโดยรอบปูด้วยกระเบื้องดินเผา สีอิฐ ด้านหนึ่งของพระเจดีย์กลางน้ำติดลำน้ำระยอง ส่วนอีกด้านเป็นส่วนที่ติดกับป่าชายเลนหนาทึบ ปัจจุบันมีสะพานตัดข้ามจากฝั่งไปยังเกาะสะดวกมากขึ้น

พระเจดีย์กลางน้ำ ทางกรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อ วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2544 ในพื้นที่ 13 ไร่ พระเจดีย์กลางน้ำเป็นที่เคารพสักการะของชาวระยองเป็นอย่างมาก ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองของทุกปี จะมีงานประเพณี "งานห่มผ้าเจดีย์กลางน้ำ" มีขบวนแห่มาทางแม่น้ำ ในพิธีมีการใช้ผ้าสีแดง ความยาว 6 เมตร ห่มองค์เจดีย์ตรงเรือนทาสทรงระฆังคว่ำ เพื่อเป็นการสักการะ บูชาองค์พระเจดีย์ นอกจากนี้ยังมีการจัดแข่งเรือยาว และลอยกระทงประจำปี ซึ่งจัดสืบทอดกันมานานกว่า 60 ปี


นอกจากนี้บริเวณพระเจดีย์กลางน้ำ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ อยู่ในส่วนของ "ศูนย์การเรียนรู้ป่าชายเลน พระเจดีย์กลางน้ำ" ภายใต้โครงการรักษ์ป่าชายเลน ที่สนับสนุนงบประมาณโดยโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี เป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติบริเวณป่าชายเลน มีสะพานปูน กั้นรั้ทั้งสองข้างทางเดิน ยาวประมาณ 200 เมตร ทอดยาวตามแนวป่าชายเลน เพื่อให้ได้ศึกษา เรียนรู้ระบบนิเวศของป่าชายเลย








ถนนยมจินดา ถนนคนเดิน









ถนนยมจินดา แหล่งท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์วัฒนธรรม เป็นถนนเก่าแก่ของเมืองระยอง ที่ถูกปลุกขึ้นมาใหม่ ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกลิ่นอายบรรยากาศเก่าๆ ของถนนยมจินดา ที่เคยเป็นถนนสายหลักใจกลางเมืองระยองในอดีต


แต่ก่อน เมืองระยองใช้แม่น้ำระยองที่ไหลผ่านใจกลางเมือง เป็นลำน้ำสายหลักในการติดต่อค้าขายและทำธุรกิจการค้า มีกิจการอู่ต่อเรือ ใช้การคมนาคม ทางน้ำขนส่งสินค้าขึ้นล่องไปยังหัวเมืองต่างๆ จนกระทั่งสมัย พระศรีสมุทรโภค (อิ่ม ยมจินดา) เจ้าเมืองคนสุดท้ายของเมืองระยอง ได้เริ่มสร้างถนนแห่งแรกขึ้น ให้ขนานไปกับแม่น้ำ ชื่อว่า ถนนยมจินดา ซึ่งกลายเป็นถนนที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเมืองระยอง เป็นถนนที่เคยคึกคัก เต็มไปด้วยผู้คน ทำธุรกิจการค้า เป็นที่ตั้งของธนาคาร โรงหนัง ตลาด รวมถึงเป็นที่ตั้งของบ้านต้นตระกูลยมจินดา จนกระทั่งบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไป เมืองโดยรอบขยายตัวขึ้น มีถนนตัดผ่านมากขึ้น บ้านเรือนถูกเปลี่ยนสภาพเป็นตึกและอาคารสูงรูปทรงทันสมัย เหลือเพียงบ้านเรือนบนถนนยมจินดา ที่ยังคงสภาพบ้านเรือนตามรูปแบบวิถีชีวิตไทยเดิมๆ


ปัจจุบัน ด้วยความร่วมมือของชมรมอนุรักษ์ฟื้นฟูเมืองเก่าระยอง และเทศบาลเมืองระยอง ถนนยมจินดาได้ถูกปัดฝุ่น ให้บรรยากาศแบบเดิมๆ ฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อเป็นการอนุรักษ์ให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นบ้านเรือนในแบบโบราณ และชุมชนในภาพบรรยากาศเก่าๆ ชมบ้านเรือนในแบบอายุเกือบร้อยปี สิ่งของเครื่องใช้ในอดีต รวมถึงการเล่าเรื่องราวผ่านรูป และแฟ้มภาพเก่าๆ


อาคารบ้านเรือนทั้งสองฝั่งถนน ถูกซ่อมแซม และปรับแต่งบ้าง แต่ก็ยังคงสภาพรายละเอียดไว้ในรูปแบบเดิมๆ บรรยากาศบ้านเรือนบนถนนยมจินดา จึงแตกต่างจากการจัดบรรยากาศให้ดูเป็นแบบโบราณเหมือนที่อื่นๆ เพราะที่นี่เป็นบรรยากาศจริงจากวิถีชีวิตชุมชนเดิม จึงอบอวลไปด้วยความรู้สึกผูกพันของคนรุ่นเก่าที่อยากถ่ายทอดให้แก่คนรุ่นใหม่ให้รู้สึกรักและหวงแหนกับความเป็นไทยๆ





map

วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2560

การเดินทางไปยังหอชมวิวเฉลิมพระเกียรติ

ห่างจากตัวเมืองระยอง 5 กิโลเมตร
หอชมวิวเฉลิมพระเกียรติ จะอยู่ก่อนถึงพระเจดีย์กลางน้ำ ประมาณ 2 กิโลเมตร


1.จากเส้นสุขุมวิท

- จากกรุงเทพฯ วิ่งเส้นสุขุมวิท ก่อนถึงตัวเมืองระยอง เลี้ยวขวาตามป้ายไปหาดแสงจันทร์หาดแสงจันทร์ ถึงถนนเลียบชายฝั่ง เลี้ยวซ้าย
- วิ่งตามถนนเลียบทะเลไปประมาณ 1.5 กิโลเมตร มีสามแยก (เป็นลานแอร์โรบิค และสนามเด็กเล่น) เลี้ยวซ้าย วิ่งไปจนถึงสะพานขวามือ (สะพานเฉลิมชัย)
- ลงสะพานเลี้ยวซ้าย แล้วเลี้ยวซ้ายตามป้าย ป่าชายเลนพระเจดีย์กลางน้ำ ก่อนถึงพระเจดีย์กลางน้ำ จะเห็นป้ายทางเข้าหอชมวิวเฉลิมพระเกียรติซ้ายมือ

2.จากทางหลวงเส้น 36
- จากเส้น 36 วิ่งเลยแยกเข้านิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด แยกถัดไปเลี้ยวขวาตัดเข้าเส้นสุขุมวิท
- ถึงเส้นสุขุมวิท เลี้ยวซ้ายไปทางระยอง จันทบุรี เลี้ยวขวาตามป้ายไปหาดแสงจันทร์ ถึงถนนเลียบชายฝั่ง เลี้ยวซ้าย
- วิ่งตามถนนเลียบทะเลไปประมาณ 1.5 กิโลเมตร มีสามแยก (เป็นลานแอร์โรบิค และสนามเด็กเล่น) เลี้ยวซ้าย วิ่งไปจนถึงสะพานขวามือ (สะพานเฉลิมชัย)
- ลงสะพานเลี้ยวซ้าย แล้วเลี้ยวซ้ายตามป้าย ป่าชายเลนพระเจดีย์กลางน้ำ ก่อนถึงพระเจดีย์กลางน้ำ จะเห็นป้ายทางเข้าหอชมวิวเฉลิมพระเกียรติซ้ายมือ

3.จากตัวเมืองระยอง
- จากเส้นสุขุมวิท เลี้ยวไปทางปากน้ำระยอง สุดทางถึงสามแยกเลี้ยวขวาไปจนถึงวัดปากน้ำ
- ผ่านโค้งขวาจะเห็นป้าย เลี้ยวซ้ายไปป่าชายเลนพระเจดีย์กลางน้ำ วิ่งตามป้ายบอกทาง จะเห็นป้ายทางเข้าหอชมวิวเฉลิมพระเกียรติซ้ายมือ

การเข้าชมหอชมวิว และศูนย์การเรียนรู้ฯ ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเข้าชม
เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 9.00 - 18.00 น.

ข้อมูลทั่วไป



หอชมวิวเฉลิมพระเกียรติ ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำระยอง บ้านปากน้ำ ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เกิดจากความร่วมมือของเทศบาลระยอง กลุ่มอนุรักษ์แม่น้ำระยองและป่าชายเลน และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระเจ้าอยู่หัว เนื่องวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ โดยทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 มีวัตถุประสงค์ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศป่าชายเลน เป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้แก่นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ได้สัมผัสธรรมชาติของป่าชายเลน และได้เห็นวิถีชีวิตของการอยู่ร่วมกันของระบบนิเวศของป่าชายเลนที่ กำลังจะหมดลงไปเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังถือเป็นสถานที่พักผ่อน และถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงพัฒนาการไปสู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของจังหวัดระยองอีกด้วย




ทางเดินไปยังหอชมวิว เป็นทางเดินไม้ระแนงกว้างประมาณ 1 เมตร ลึกเข้าไปประมาณ 400 เมตร ทางเดินไม้ไม่มีขอบกั้น สูงจากพื้นประมาณ 1.5 เมตร สองข้างทางมีต้นไม้นานาพรรณ บางต้นมีขนาดใหญ่ อายุหลายร้อยปี มีกิ่งก้านแผ่ขยายออกไปกว้าง ไม้ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ไม้สกุลโกงกาง แสมขาว แสมดำ โปรงขาว ประสักดอกแดง โพทะเล ปรงทะเล ตะบูนขาว ตะบูนดำ เป็นต้น มี “บ้านหอยพอก” เป็นการสร้างคอกไม้ไผ่ล้อมไว้บนพื้น เพื่อให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์หอยพอก มี”คอนโดปู” ที่เกิดจากความคิดของกลุ่มอนุรักษ์แม่น้ำและป่าชายเลน โดยนำไม้แสม โกงกาง และเศษไม้มาปักทับถม ให้เหมือนกับเป็นที่พักอาศัยและขยายพันธุ์ทางธรรมชาติของสัตว์น้ำเช่น ปูแสม ปูหนุมาณ ปูทะเล(ปูดำ) ปูกระเทย และปลาชนิดต่างๆ เพื่อให้เกิดเป็นระบบนิเวศน์ที่สมบูรณ์

สุดทางเป็นหอชมวิวเฉลิมพระเกียรติ สร้างขึ้นติดกับแม่น้ำระยอง โดยสร้างเป็นหอคอยทรงสามเหลี่ยม กว้าง 8 เมตร สูง 22.10 เมตร มีบันไดขึ้นลง ลักษณะวนขึ้นเป็นชั้นๆ 11 ชั้น พื้นปูด้วยกระเบื้องที่มีพื้นผิวขรุขระ ไม่ลื่นเมื่อโดนฝน เมื่อขึ้นถึงชั้นบนสุด ด้านนึงจะเห็นวิวท้องทุ่งยอดไม้เขียวชะอุ่ม ของป่าชายเลนด้านล่าง อีกด้านหนึ่งเป็นทะเล ชุมชนริมชายฝั่งและบริเวณปากแม่น้ำ


ประวัติผู้จัดทำ

ชื่อ นางสาวพรนภัส นอละออ ชื่อเล่น บีม วัน เดือน ปี เกิด อังคารที่ 21 มีนาคม2543 ปีมะโรง สถานภาพ โสด ศาสนา พุทธ เบอร์โทรศัพท์ +669 ...